เรื่องของ “ลายเซ็น” ลายเส้นสัญลักษณ์บอกเล่าตัวตน
เรื่องของ “ลายเซ็น” ลายเส้นสัญลักษณ์บอกเล่าตัวตน

แม้จะเป็นเรื่องที่กล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมี “นักออกแบบลายเซ็น” เกิดขึ้นมากมาย ที่นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการมีลายเซ็นที่มีลายเส้นสวยงามน่ามองแล้ว จุดมุ่งหมายหลักในการใช้บริการนักออกแบบลายเซ็นของคนส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นเรื่องของความปรารถนาที่จะมีลายเส้นอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวที่บ่งบอกถึงสิ่งดี ๆ ที่ดูแล้วต้องสวยดี และรู้สึกถึงความเป็นมงคลดีอันจะนำพาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

katemangostar / Freepik
แรกมี “ลายเซ็น” ในสยาม
ก่อนจะไปถึงเรื่องของความมงคลหรือไร้มงคลของลายเส้นสะท้อนตัวตนที่หลายคนให้ความสนใจนั้น สิ่งแรกที่ควรต้องเท้าความกันก่อนคือที่มาที่ไปของ “ลายเซ็น” ว่ามีความเป็นมาและเป็นไปเช่นไร เพราะเหตุใด ทำไมเราจึงต้องลากเส้นเซ็นให้เป็นชื่อ เพื่อใช้แทนตัวตนกันมาเป็นหลักสากลจนถึงทุกวันนี้
บทความเรื่อง “ลายมือ” และ “ลายเซ็น” ของรัชกาลที่ 4 กับอิทธิพลที่ส่งผลในภายหลัง ของเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของลายเซ็นในประเทศไทยความตอนหนึ่งว่า “...เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระสหายเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตกตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวช ทรงเรียนภาษาอังกฤษจากมิชชันนารีอเมริกัน และภาษาละตินจากสังฆราช ปาเลกัวส์ พระองค์จึงทรงเขียนและอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ ทรงมีพระสหายชาวต่างชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการโต้ตอบทางจดหมายด้วยลายพระหัตถ์ ซึ่งการเขียนจดหมายแบบตะวันตกต้องมีการลงท้ายด้วยชื่อผู้เขียน นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการลงพระปรมาภิไธย...
...จากนั้นจึงเริ่มขยายวงกว้างไปสู่ระบบราชการและราษฎรไทย ยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคที่วัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้ามาสู่บ้านเมืองสยาม เป็นยุคที่พระมหากษัตริย์มีพระปรมาภิไธยหลากหลายรูปแบบ มีความสวยงาม ทั้งของพระองค์เองและการลงพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชการ
ลายเซ็นมีบทบาทชัดเจนในปี พ.ศ.2431 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีการวางระเบียบให้เสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ ที่จะประทับตราประจำกระทรวง จะต้องลงชื่อตัวในท้ายตราด้วยเพื่อเป็นหลักฐาน
การลงลายเซ็นจึงเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราประทับถูกลดบทบาทลงจนแทบไม่มีความสำคัญ จนถึงปัจจุบันคนไทยทั้งข้าราชการและเอกชนให้การยอมรับการลงลายชื่อในเอกสารกันแพร่หลายทั่วไป”
ลายเซ็นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยใช้เป็นสัญลักษณ์แทนบุคคลเรื่อยมา โดยจะมีทั้งแบบที่เป็นลายเส้นที่มีความคล้ายคลึงกับชื่อ หรืออาจไม่คล้าย แต่เขียนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ส่วนใหญ่มักลากเส้นให้มีความยากเข้าไว้ เพื่อป้องกันการเลียนแบบปลอมแปลงตัวตน ขณะที่มีบางคนใช้วิธีเขียนเป็นลายมือเขียนชื่อ-นามสกุล ไม่ได้บรรจงสร้างสรรค์ลายเส้นใด ๆ เป็นพิเศษ ซึ่งลายเส้นทั้งหลายเหล่านั้นยังสามารถบ่งบอกบุคลิกและความเป็นตัวตนของแต่ละคนได้อีกด้วย

energepic.com / Pexels
สื่อสัมพันธ์ลักษณะนิสัย
จากความช่างสังเกต จดจำ พินิจ และเก็บมาคิดวิเคราะห์ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ “อ.ติณณ์” นักออกแบบลายเซ็นผู้คร่ำหวอดอยู่กับลายเส้น ด้วยความเป็นคนชื่นชอบและมีความสามารถทางด้านศิลปะ รวมถึงการเขียนลายเส้น ลายมือ จึงได้ผันตัวจากการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ มาเป็นนักออกแบบลายเซ็นที่มีผู้กล่าวถึงไม่น้อย กล่าวว่า
“ลายเซ็นเป็นศาสตร์ที่มีที่มาที่ไปมาตั้งแต่นานแล้ว แต่เป็นเพียงซิกเนเจอร์ที่ใช้สำหรับประทับยืนยันว่าเรารับเรื่องนั้น ๆ แล้ว เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการทำข้อตกลงเกิดขึ้นระหว่างกัน จากนั้นจึงเริ่มมีคนสังเกตว่า ทำไมคนนี้เซ็นแบบนี้ อีกคนที่เซ็นอีกแบบถึงมีชีวิตที่ดีกว่า ทำไมคนมีตำแหน่งใหญ่โตส่วนใหญ่มักมีลายเส้นแบบนี้ จึงเกิดเป็นการจับสถิติจากลักษณะลายเซ็นของคนที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ เริ่มมีการวิเคราะห์ลักษณะของลายเซ็น เริ่มมีคนศึกษาพฤติกรรมของการเขียนหรือการเซ็น และรวบรวมเป็นข้อมูลสถิติซึ่งถูกนำมาใช้เป็นทิศทางในการที่จะบอกกล่าวว่าคนคนนี้พื้นฐานลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร อารมณ์เป็นเช่นไร โดยที่ไม่ใช่เรื่องงมงายไร้หลักการแต่อย่างใด”
ดังที่มีการกล่าวไว้เป็นตำราว่า ลายเซ็นสามารถบอกได้ถึงชีวิตของผู้เซ็น สุขภาพ บุคลิกภาพ บริวาร ฐานะความมั่นคง การดำเนินชีวิต

อ.ติณณ์ กล่าวว่า “ผู้ที่มีการศึกษาลักษณะลายเส้นของลายเซ็นมาดีพอ จะมองว่าลักษณะลายเซ็นที่ดีจะต้องเหมาะสมกับเฉพาะบุคคล โดยรูปแบบสรีระ รูปทรงของลายเซ็นจะเปลี่ยนไปตามสาขาอาชีพ เช่น อาชีพข้าราชการ เป็นสายงานที่มีหน้าที่การงานมั่นคง ซื่อตรง เด็ดขาด ข้าราชการที่ดีจะต้องมีความตรงไปตรงมา ปฏิบัติตามกฎระเบียบของข้าราชการ และจากการเก็บสถิติซึ่งนำมาใช้คิดวิเคราะห์ อะไรที่มีความเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบ เส้นต้องมีความเหลี่ยม ดังนั้นอักษรใดก็แล้วแต่ที่มีลายเส้นบ่งบอกถึงความเหลี่ยมแหลมในรูปลักษณ์ลายเซ็นต้องเติมเข้าไปในลายเซ็นของคนที่มีอาชีพเหล่านี้ เพื่อให้เขามีการตัดสินใจที่มั่นคง แน่วแน่ อันจะส่งผลให้เขามีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ต่อไป ขณะที่คนที่เป็นเซลล์ขายของ แต่กลับมีลายเส้นที่มีความเหลี่ยมแหลมเข้าไป ความชัดเจน เด็ดขาดนั้นอาจส่งผลให้อารมณ์มีความรุนแรง ทำให้คนไม่อยากซื้อของ ฉะนั้นคนที่จะออกแบบลายเซ็นต้องมีความเข้าใจในสรีระของลายเส้นให้ได้ก่อนจึงจะออกแบบลายเซ็นที่ดีได้”

เก็บสถิติลายเส้น วิเคราะห์ลายเซ็น
สำหรับการเก็บสถิติลายเส้นของลายเซ็นที่มีคนทำกันมานานนั้น อ.ติณณ์อธิบายว่า เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและลึกซึ้งมาก โดยความลึกซึ้งนั้นคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเจ้าของลายเซ็นแต่ละคน เช่น น้ำหนัก ทิศทางของลายเซ็น ความต่อเนื่อง ความตื้น จังหวะของการตวัดเส้นสาย เหล่านี้ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น
“สิ่งที่ศึกษาวิเคราะห์มาตลอดคือ การดูลายเซ็นของคนหลายกลุ่ม หลายระดับ ตั้งแต่คนทำงานรับจ้างหาเช้ากินค่ำ พ่อค้าแม่ค้า ข้าราชการ นักธุรกิจ มหาเศรษฐี จะดูว่าคนเหล่านี้มีลายเซ็นแบบไหน มีสัญลักษณ์อะไร จากนั้นนำมาเปรียบเทียบ บันทึกเป็นสถิติว่ามหาเศรษฐีส่วนใหญ่จะมีลายเส้นแบบไหน คนทำงานรับจ้างลายเส้นจะเป็นอีกแบบ การวิเคราะห์ลายเซ็นก็เหมือนกับวิชาอ่านนิสัยคนด้วยการดูลายเส้นจากลายมือที่เขาเขียน บางคนเซ็นตัวใหญ่มาก บางคนเซ็นตัวเล็กนิดเดียว ซึ่งทั้งสองคนเรียกได้ว่านิสัยต่างกันมาก คนหนึ่งชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ อีกคนชอบออกสังคม”
นอกจากการเก็บข้อมูลจากลายเส้นของกลุ่มคนจากหลากหลายอาชีพเพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าลายเส้นแบบใด สะท้อนถึงบุคลิก นิสัยใจคอเป็นอย่างไร และจะสามารถปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นด้วยลายเส้นลักษณะใดแล้ว แน่นอนว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือเรื่องของความสวยงาม โดย อ.ติณณ์ว่า เรื่องรูปลักษณ์ ความสวยงามของลายเส้นเป็นสิ่งที่นักออกแบบอาชีพอย่างเขาให้ความสำคัญ ซึ่งเขาได้นำเรื่องพื้นฐานของการเป็นคนชอบงานศิลปะ รวมถึงลายเส้นต่าง ๆ ที่หาดูเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นมุมมอง และไอเดียในการสร้างสรรค์เป็นลายเซ็นได้จากการค้นคว้าในอินเทอร์เน็ต
“เอกลักษณ์ของลายเซ็นที่เราออกแบบคือ ลายเส้นจะต้องมีความหนักเบา หนาบาง เส้นสายมีความพลิ้วไหว ลายเส้นมีความต่อเนื่อง มั่นคง เมื่อออกมาแล้วองค์ประกอบของภาพรวมทั้งหมดจะต้องดูสวยงาม เป็นระเบียบ ไม่ยุ่งเหยิง”

เป็นคนไทย อยู่เมืองไทย ควรใช้ลายเซ็นภาษาไทย?
เมื่อถามว่าหากให้เปรียบเทียบความยากง่ายในการออกแบบลายเซ็นระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษนั้น อ.ติณณ์ว่า ภาษาไทยออกแบบได้ง่ายว่า เพราะตัวอักษรไทยมีรูปแบบ ลายเส้นสวยงาม และหลากหลาย นอกจากจะออกแบบได้ง่ายกว่า ลายเซ็นภาษาไทยยังสามารถออกแบบได้สวยกว่าภาษาอังกฤษอีกด้วย เนื่องจากอักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นที่ค่อนข้างแข็ง และมีความเป็นเหลี่ยมมุม ตัวอักษรมีเส้นที่ตัดกันเยอะ เช่น ตัว H หรือตัว T
อ.ติณณ์ยังแนะนำด้วยว่า หากเป็นผู้มีชีวิตพื้นฐานอยู่เมืองไทยเป็นหลัก ประกอบอาชีพที่ใช้ภาษาไทย มีความข้องเกี่ยวกับประเทศไทย ควรใช้ลายเซ็นภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกับเรื่องของการทำนายทายทักใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นคำแนะนำที่อ้างอิงจากหลักความเป็นจริงคือ “เมื่อเราเป็นคนไทย อยู่ในราชอาณาจักรไทย ต้องติดต่อประสานงาน เจรจาพูดคุยกับคนไทยเป็นหลัก หากใช้ภาษาไทยจะช่วยให้การสื่อสารราบรื่น คล่องตัวมากกว่า เปรียบเทียบง่าย ๆ หากคุณคุยกับคนไทย แต่ใช้ภาษาอังกฤษ แทนที่เขาจะเข้าใจก็กลายเป็นความไม่เข้าใจ การสื่อสารอาจคลาดเคลื่อน และเกิดอุปสรรคขึ้นมาได้”
ด้วยความที่ลายเซ็นถือเป็นสิ่งที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตัวตนเฉพาะบุคคล ดังนั้นหากมีผู้สนใจให้ออกแบบมีชื่อซ้ำกัน อ.ติณณ์ จึงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก ชื่อที่ซ้ำกันจะต้องมีลายเส้นที่ต่างกัน ด้วยการดูองค์ประกอบซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะของแต่ละคนในการออกแบบ ดังเช่นที่ได้อธิบายไว้ในข้างต้นว่า จะต้องมีเรื่องของอาชีพ จุดมุ่งหมายในชีวิตของแต่ละคนล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่นำมาใช้ประกอบในการออกแบบ ทำให้ลายเส้นของทุกลายเซ็นมีความต่างกัน แม้จะเป็นชื่อเดียวกันก็ตาม
ลายเซ็นมงคล ต้องมาพร้อมกับการปฏิบัติดี
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบลายเซ็น ได้ทิ้งท้ายด้วยการอธิบายถึง ลายเซ็นที่ถูกหลักมงคลศาสตร์ตามความคิดของอ.ติณณ์ ไว้ว่า “ลายเซ็นที่ดูแล้วคือลายเซ็นจริงๆ เมื่อดูแล้วรู้สึกถึงพลังบวกที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน เห็นแล้วชอบ ประทับใจในความสวยงามของลายเซ็น และเป็นลายเซ็นที่มีเอกลักษณ์ มีความโดดเด่น มีสัดส่วนที่ถูกลักษณะความเป็นมงคล ขนาดของลายเซ็น ความสั้นยาว ความเอียงองศาลงตัวสวยงาม มีความต่อเนื่องของเส้นสายลายเซ็น มีจังหวะของการตวัดลายเส้นพลิ้วสวยงาม ต่อเนื่อง มีเส้นคมชัด มีหนามีบาง มีเส้นหนักเบา โค้งมนสวยและขีดเส้นตรงดีโดยไม่มีเส้นสายตัดกันในตำแหน่งสำคัญ และต้องเป็นลายเซ็นในแบบเฉพาะบุคคลที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร”
แม้ลายเซ็นจะเป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบได้กับเครื่องหมายแสดงตัวตนที่สามารถบ่งบอก และสะท้อนถึงตัวตน หรือบอกเล่าเส้นทางชีวิตของเจ้าของลายเซ็นก็ตาม แต่ชีวิตจะประสบความสำเร็จเป็นไปตามที่ใจหวังหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของการกระทำ
ภาพ : อ.ติณณ์
ที่มา : บทความ “‘ลายมือ’ และ ‘ลายเซ็น’ ของรัชกาลที่ 4 กับอิทธิพลที่ส่งผลในภายหลัง” โดย มัณฑนา ชอุ่มผล จาก https://www.silpa-mag.com
บทความ “ความสำคัญของลายเซ็น” จาก http://coop.ku.ac.th/_docs/how2sign.pdf
เรื่อง : นพรัตน์ จิตพงศ์สถาพร
ลิงค์ : https://www.creativethailand.org/article-read?article_id=34157